1. กำไรจากการขาย (Profit Income)สมัยนี้มีสินค้าหลายอย่างที่ลงทุนไม่มาก ไม่ต้องดูแลสต๊อก แต่ขายได้ตลอด เช่น ขายรูปถ่ายออนไลน์ ขายอีบุ๊ก ขายสติกเกอร์ไลน์ ฯลฯ โพสต์ขายออนไลน์เอาไว้ ก็ทำเงินเข้ามาได้เรื่อย ๆ
2. ดอกเบี้ยปล่อยกู้ (Interest)
สำหรับธุรกิจที่มีเงินสดมาก ควรแบ่งเงินสดไปลงทุนให้เกิดผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย เช่น ฝากธนาคาร ซื้อพันธบัตร หรือให้กู้ยืมในรูปแบบอื่น ๆ ข้อดีคือเป็น Passive Income ให้กับธุรกิจ
3. เงินปันผลจากหุ้น (Dividend)
นอกจากเอาเงินสดไปปล่อยกู้ ก็สามารถแบ่งไปลงทุนในตลาดหุ้น หรือลงทุนในธุรกิจอื่น เพื่อรับผลตอบแทนในรูปเงินปันผล ถ้าเลือกลงทุนดี ๆ ก็มีโอกาสทำ Passive Income ได้เยอะทีเดียว
4. ค่าเช่าสินทรัพย์ (Rental Revenue)
ปล่อยเช่าสินทรัพย์ของธุรกิจที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น ที่ดิน อาคาร โกดัง เครื่องจักร อุปกรณ์ต่าง ๆ
5. มูลค่าเพิ่มของสินทรัพย์ (Capital Gain)
สินทรัพย์บางอย่าง เช่น ที่ดิน อาคาร หุ้น อาจมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ก็ถือเป็นรายได้อย่างหนึ่งของบริษัทเช่นกัน ฉะนั้นก่อนซื้อสินทรัพย์ควรคิดถึงมูลค่าในอนาคตไว้ด้วย
6. ค่าสมัครรับข้อมูล (Subscription Fee)
คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ เช่น วิดีโอ บทความ รายงาน หรือการสัมมนา แล้วเรียกเก็บค่าสมาชิกจากลูกค้าเป็นรายเดือนหรือรายปีเพื่อเข้าถึงคอนเทนต์เหล่านั้น
7. ค่าสิทธิ์ในการใช้สินทรัพย์ทางปัญญา (Royalty Fee)
เป็นเงินที่ลูกค้าจ่ายเพื่อใช้ไอเดีย แฟรนไชส์ หรือระบบแพลตฟอร์มของคุณ ลงทุนเพียงครั้งเดียวเพื่อสร้างทรัพย์สินทางปัญญาของธุรกิจขึ้นมา ก็สามารถขายได้เรื่อย ๆ
8. ค่าโฆษณา (Advertising Revenue)
ถ้าคุณมีสื่อของตัวเองที่มีคนเห็นเยอะ เช่น เว็บไซต์ แฟนเพจ หรือแม้แต่ผนังตึก ก็สามารถขายพื้นที่เหล่านี้เพื่อการโฆษณาได้
ที่มา : LINK