เปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องทำยังไง

เปลี่ยนสำนักงานบัญชี ต้องทำยังไง



ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ที่ทำให้กิจการจำเป็นและจำใจต้อง เปลี่ยนสำนักงานบัญชีใหม่ เรื่องที่สำคัญคืออะไรบ้าง ที่นี่มีคำตอบค่ะ

1.ตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีตอนไหนดี

2.ต้องเตรียมการแจ้งสำนักงานบัญชีเก่าตั้งแต่เนิ่นๆ

3.กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน

4.ต้องขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืนทั้งหมด

5.ขอข้อมูลการบันทึกบัญชี

6.ขอรหัสผ่านต่างๆ      

7.กิจการควรมองหาและติดต่อสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ไว้ให้เรียบร้อย

ก่อนตัดสินใจว่าจะ เปลี่ยนสำนักงานบัญชี ตอนไหนดี สิ่งที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจคือ

– เปลี่ยนทันที โดยปกติสำนักงานบัญชีที่เดิมจะต้องใช้เวลาในการปิดงบ จนถึงวันล่าสุด รวมถึงจัดเตรียมข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อส่งต่อให้กับคนที่จะมาดูแลบัญชีต่อ แต่หากมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนทัน ในกรณีนี้อาจจะต้องจ่ายค่าทำบัญชีซ้ำซ้อน เพราะสำนักงานบัญชีใหม่ต้องย้อนดูหรือเริ่มต้นทำใหม่ตั้งแต่ต้นปี หรือจนถึงข้อมูลที่กิจการมีล่าสุด อีกทั้งการเปลี่ยนสำนักงานบัญชีทันที อาจต้องเสียค่าปรับการยกเลิกก่อนครบสัญญ กับสำนักงานบัญชีที่เดิมก็เป็นได้

– รอให้จบรอบบัญชีก่อนค่อยเปลี่ยน เพื่อความต่อเนื่อง หากเป็นกรณีนี้ ควรคำนวณด้วยว่าหากยังใช้สำนักงานบัญชีเดิมอยู่ไปจนจบรอบบัญชี อาจทำให้ก่อความเสียหายมากกว่าหรือไม่ (หากสำนักงานบัญชีเดิมไม่รับผิดชอบงาน อาจทำให้กิจการได้ข้อมูลจากการบันทึกบัญชีที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดภาระค่าปรับภาษี หรือค่าปรับอื่นๆ)

ก่อน เปลี่ยนสำนักงานบัญชี แจ้งสำนักงานบัญชีเก่าตั้งแต่เนิ่นๆ

และถ้าหากตัดสินใจได้แล้วว่าจะเปลี่ยนสำนักงานบัญชีช่วงไหน กิจการจำเป็นต้องเตรียมการแจ้งสำนักงานบัญชีเก่าตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะต้องให้เวลากับสำนักงานบัญชีเก่า ในการปิดบัญชีและเคลียร์เอกสารเพื่อส่งต่อข้อมูลให้กับสำนักงานบัญชีใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปสำนักงานบัญชีอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ในการปิดบัญชีและเคลียร์เอกสาร

กำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินให้แน่นอน

กิจการควรกำหนดเวลาในการส่งคืนเอกสารและงบการเงินกลับมายังกิจการให้แน่นอน เพื่อให้ส่งมอบงานกับสำนักงานบัญชีใหม่ได้อย่างตรงเวลานัดหมาย เพราะถ้าหากไม่กำหนดเวลาส่งคืนที่ชัดเจน กิจการก็จะไม่สามารถนัดวันส่งเอกสารให้กับสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ได้

และอาจทำให้เกิดความยืดเยื้อยาวนานเกินไป หรือโดนบ่ายเบี่ยงจากสำนักงานบัญชีเก่า ด้วยสาเหตุอื่นใดที่ไม่สามารถส่งคืนงานได้ หากสำนักงานบัญชีเก่าทำเอกสารหาย จนเป็นสาเหตุของการยืดเวลาการส่งมอบคืนเอกสาร ปัญหาอาจจะเข้ากิจการขึ้นมาก็ได้ เพราะตามกฎหมายได้กำหนดให้กิจการต้องเก็บเอกสารทางบัญชีไว้อย่างน้อย 5 ปีด้วย

ต้องขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืนทั้งหมด

และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา กิจการต้องขอเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีคืนทั้งหมด ได้แก่

– บิลซื้อขาย และใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เคยส่งให้สำนักงานบัญชี

– แบบนำส่งภาษีและใบเสร็จรับเงินภาษีที่ยื่นชำระแล้ว ( เช่น ภ.ง.ด.1, 3, 53 ภ.พ.30 ภ.ง.ด.50,51)

– แบบนำส่งประกันสังคมและใบเสร็จรับเงิน

– ต้นฉบับหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่ลูกค้าได้หักไว้

– สำเนาหนังสือรับรองภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่กิจการได้หักลูกค้าไว้ (ทำ ภ.ง.ด.1, 3, 53)

– Bank Statement ทุกธนาคารของกิจการ

– เอกสารอื่นๆ (ถ้ามี)

ขอข้อมูลการบันทึกบัญชี

นอกจากเอกสารประกอบการบันทึกบัญชีที่ต้องขอคืนทั้งหมดแล้ว ข้อมูลการบันทึกบัญชีก็มีความจำเป็นที่ต้องขอคืนด้วย เช่น

– งบทดลอง (TB)

– สมุดรายวันแยกประเภท (GL) เช่น สมุดรายวันซื้อ, ขาย, รับเงิน, จ่ายเงิน, ทั่วไป

– ทะเบียนทรัพย์สิน

– ทะเบียนลูกหนี้ และเจ้าหนี้

– รายละเอียดประกอบยอดคงเหลือของสินทรัพย์และหนี้สิน

ขอรหัสผ่านต่างๆ

รหัสผ่านที่ใช้ติดต่อทำธุรกรรมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจ และประกันสังคม กิจการจำเป็นต้องขอจากสำนักงานบัญชีเก่าด้วย เพื่อส่งต่อให้สำนักงานบัญชีใหม่ได้ทำต่อได้ ซึ่งประกอบด้วย

– ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบ DBD e-Filling ของกรมพัฒนาธุรกิจ

– ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบจ่ายภาษีออนไลน์ ของกรมสรรพากร

– ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ระบบทำธุรกรรมของสำนักงานประกันสังคม (ถ้ามี)

ก่อน เปลี่ยนสำนักงานบัญชี กิจการควรมองหาและติดต่อสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ไว้ให้เรียบร้อย

โดยระหว่างที่สำนักงานบัญชีเก่ากำลังนี้เคลียร์ทุกอย่างส่งคืนให้กับกิจการ ทางด้านกิจการเองก็ควรมองหาและติดต่อสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ ที่มีบริการรับทำบัญชีไว้ให้เรียบร้อย โดยควรเลือกจาก…

– ราคาที่มีความสมเหตุสมผลกับเนื้องาน ไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพสมราคา และป้องกันการหนีหายเมื่อได้เงินก้อนโตจากกิจการ

– ติดต่อง่าย สะดวก รวดเร็ว ควรเลือกสำนักงานบัญชีที่ติดต่อได้ง่าย และมีการจัดสรรผู้ดูแลให้กับกิจการโดยเฉพาะไม่สลับคนดูแลไปมา เพื่อให้สะดวกในการติดต่อและรู้ข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของกิจการ

– สำนักงานบัญชีมีตัวตนอยู่จริง มีหลักแหล่งชัดเจน เพื่อป้องกันการหนีหาย และกิจการสามารถไว้วางใจได้ว่าจะมีสำนักงานบัญชีค่อยช่วยเหลือตลอดเมื่อถูกตรวจสอบย้อนหลัง หรือถูกเรียกพบ

– สามารถให้คำปรึกษาเรื่องบัญชี ภาษีแก่กิจการได้ สำนักงานบัญชีควรมีความเข้าใจพื้นฐานในธุรกิจของกิจการ เพื่อสร้างคามเชื่อมั่นว่าจะสามารถให้คำปรึกษา และช่วยเหลือได้ตรงรูปแบบของธุรกิจจริง

– ขอบเขตบริการบัญชีที่ตกลงให้บริการ ควรเลือกให้ตรงกับความต้องการของกิจการ เพราะสำนักงานบัญชีบางแห่งก็มีบริการรับทำบัญชีและภาษีไม่ครบทุกเรื่อง

– มีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากบทความ สำนักงานบัญชีคุณภาพ แบบไหนที่ควรเลือก)

และเมื่อได้รับเอกสาร ข้อมูลต่างๆ ดังที่กล่าวมา รวมถึงเลือกสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ได้เรียบร้อยแล้ว กิจการก็สามารถส่งต่องานบัญชีทั้งหมดไปยังสำนักงานบัญชีแห่งใหม่ได้อย่างไรครบถ้วนไร้กังวลแล้วค่ะ

ขอบคุณที่มา : https://inflowaccount.co.th/

 380
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เจ้าของกิจการย่อมต้องทราบดีว่านิติบุคคลมีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลปีละ 2 ครั้ง คือ รอบครึ่งปี (ภ.ง.ด.51) และรอบสิ้นปี (ภ.ง.ด. 50)  ยกเว้นเฉพาะนิติบุคคลจะไม่ต้องยื่นภาษีเงินได้รอบครึ่งปีก็ต่อเมื่อเริ่มประกอบกิจการเป็นปีแรก หรือ ยกเลิกกิจการ ซึ่งทำให้มีรอบระยะเวลาบัญชีไม่ครบ 12 เดือน
ข้อมูลทางการบัญชีสื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงของธุรกิจ เพื่อให้บุคคลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถมอง เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถในการดำเนินงานของธุรกิจทั้งในอดีต ปัจจุบันและพยากรณ์ในอนาคตได้ กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ จากข้อมูลทางการบัญชีแบ่งได้ 2 กลุ่มดังนี้
การวางแผนภาษีอากร (Tax Planning) คือ การกำหนดแนวทางการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม เพื่อการปฏิบัติในอนาคตเกี่ยวกับรายการทางการเงิน (Financial Transactions) อาทิ รายการรายได้ ค่าใช้จ่ายต่างๆ และจำนวนกำไรหรือขาดทุน ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางภาษีอากรทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ในอันที่จะป้องกันมิให้เกิดปัญหาภาษีอากรไม่ว่าประการใดๆ โดยมุ่งหมายให้การเสียภาษีอากรและการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรขององค์กรเป็นไปโดยถูกต้อง และครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กฎหมายภาษีอากรกำหนดไว้ และเป็นผลให้จำนวนภาษีอากรที่ต้องเสียนั้น เป็นจำนวนน้อยที่สุดหรือประหยัดที่สุด รวมทั้งใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรสูงสุด ทั้งนี้ โดยไม่อาศัยการทุจริตหลีกเลี่ยงภาษีอากร
ต้นทุนผันแปร และต้นทุนคงที่คำว่า “คงที่” (Fixed) และ “ผันแปร” (Variable) ใช้เพื่ออธิบายว่าต้นทุนจะผันแปรไปอย่างไร เมื่อกิจกรรมเปลี่ยนแปลงไปต้นทุนผันแปร  เป็นต้นทุนซึ่งมีจำนวนรวมที่ผันแปรไปเป็นสัดส่วนโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรม ปริมาณกิจกรรมดังกล่าวได้แก่ หน่วยของสินค้าที่ผลิตขาย ชั่วโมงแรงงาน ชั่วโมงเครื่องจักร ตัวอย่างของต้นทุนผันแปร ได้แก่ วัตถุดิบทางตรง ค่าแรงงานทางตรง วัสดุสิ้นเปลือง เป็นต้น
โดยทั่วไปผู้มีเงินได้ต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกประเภทของตน ตลอดปีภาษี (ไม่รวมเงินได้ที่กฎหมายยกเว้นภาษี หรือที่ไม่ต้องเสียภาษี) ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสิ้นปี เพื่อยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีภายในเดือนมีนาคมของปีถัดจากปีที่มีเงินได้ การคำนวณภาษีให้ทำเป็น 3 ขั้น คือ
การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เป็นหน้าที่ของผู้ที่จ่ายเงินส่วนผู้ที่รับเงินได้นั้นจะเป็นผู้ที่ถูก โดยหากมีการหักภาษี ณ. ที่จ่ายกับจะใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.3 แต่หากหักกับนิติบุคคลจะใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.53 ใบบทความนี้เราจะพูดถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เป็นนิติบุคคลกัน

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์