ทำความรู้จักกับ ภ.พ. 20 คืออะไร

ทำความรู้จักกับ ภ.พ. 20 คืออะไร


ภ.พ. 20
เป็นแบบฟอร์มที่ใช้ในการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีสำหรับผู้ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทย โดยผู้เสียภาษีที่จำเป็นต้องขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษีประกอบด้วยบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด หรือหน่วยงานอื่นๆ ที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย

ภ.พ. 20 มีความสำคัญเพราะเป็นการแสดงถึงการลงทะเบียนที่ถูกต้องกับกรมสรรพากร และจะช่วยให้ผู้เสียภาษีสามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจต่างๆ ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

หากคุณต้องการขอเลขประจำตัวผู้เสียภาษี คุณสามารถกรอกแบบฟอร์ม ภ.พ. 20 และยื่นต่อกรมสรรพากรในพื้นที่ที่คุณประกอบกิจการ

ประโยชน์ของ ภ.พ.20

การมีแบบฟอร์ม ภ.พ. 20 มีประโยชน์หลายประการสำหรับผู้ประกอบการและธุรกิจ ดังนี้:

1.การลงทะเบียนอย่างถูกต้อง: เป็นการยืนยันการมีตัวตนและการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศไทย ทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปตามกฎหมายและสามารถรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้

2.การทำธุรกรรมทางการเงิน: เมื่อมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี (Tax ID) ที่ได้จากการลงทะเบียน ภ.พ. 20 จะช่วยให้การทำธุรกรรมทางการเงินกับธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่นและถูกต้อง

3.การออกใบกำกับภาษี: ทำให้สามารถออกใบกำกับภาษีได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสำคัญสำหรับการจัดทำบัญชีและการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

4.การเข้าร่วมประมูลงานหรือโครงการต่างๆ: หลายโครงการหรือการประมูลงานของรัฐและเอกชนกำหนดให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมต้องมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี

5.การรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี: สามารถรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่กฎหมายภาษีกำหนด เช่น การขอคืนภาษี การลดหย่อนภาษี และสิทธิพิเศษอื่นๆ

6.การเป็นที่ยอมรับทางธุรกิจ: การมีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในการทำธุรกิจ ทำให้คู่ค้า ลูกค้า และผู้ร่วมธุรกิจอื่นๆ มีความมั่นใจในการทำธุรกิจกับคุณ



 80
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

เงินสดย่อยกับเงินกู้ยืมกรรมการมีความคล้ายกันตรงที่เป็นเงินของกิจการที่คนในกิจการต้องการนำเงินไปใช้จ่ายต่างๆ เหมือนกันทั้งคู่ แต่หากกิจการเกิดมีบัญชีเงินกู้ยืมกรรมการขึ้นมาจะไม่เป็นผลดีต่อกิจการ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น แล้วคนที่เพิ่งเริ่มต้นกิจการใหม่ๆ จะหลีกเลี่ยงอย่างไรได้บ้าง ในบทความนี้จะขอเปรียบเทียบหน้าที่ของเงินทางบัญชีทั้งสองแบบนี้ว่าต่างกันอย่างไร
เชื่อว่ามีหลายคนเลยทีเดียวที่คิดว่า ภาษีที่ดินกับภาษีบำรุงท้องที่เป็นภาษีชนิดเดียวกัน เพียงแต่มีคนเรียกให้ต่างกันเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาษีทั้งสองชนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และด้วยความเข้าใจที่ผิดเพี้ยนไปนี้เอง ทำให้หลายคนไม่รู้ว่าตนเองต้องจ่ายภาษีอะไรกันแน่ ยิ่งถ้าหากเป็นเจ้าของที่ดิน นายหน้า และเหล่านักอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งต้องแยกให้ออกว่า ระหว่างภาษีทั้งสองประเภทต่างกันอย่างไร ที่สำคัญคือ ภาษีเหล่านี้ใน พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมหรือไม่
ใบเสร็จรับเงิน จริงๆ แล้วคือเอกสารที่ใช้ในการรับเงินจากผู้ขายหรือผู้ให้เช่าออกใบเสร็จนี้ให้กับผู้ซื้อ เพื่อเป็นเอกสารยืนยันว่าผู้ขายหรือผู้ให้เช่านั้นได้รับเงินแล้ว การออกใบเสร็จรับเงินเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะตามกฎหมายแล้วกำหนดไว้ว่าให้ผู้รับเงิน ต้องออกใบเสร็จให้กับผู้ขายทันที เมื่อมีการรับเงิน โดยไม่เว้นแต่กรณีที่ผู้ซื้อจะขอหรือไม่ขอก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากเป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ซื้อทุกครั้ง แต่ทางกรมสรรพากรได้กำหนดไว้ว่าต้องออกใบเสร็จรับเงินต่อเมื่อมีการขายสินค้าที่มีจำนวนเงินเกิน 100 บาท/ต่อครั้ง
กิจการขนาดเล็กมักมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนหมุนเวียนรวมทั้งกำลังคน การจัดวางพนักงานในหน้าที่ต่างๆจึงไม่ค่อยมีการแบ่งแยกหน้าที่ พนักงานหนึ่งคนต้องรับผิดชอบงานหลายอย่างและอย่าได้หวังว่าจะมีแผนกต่างๆเหมือนองค์กรขนาดใหญ่
 ใครที่เป็นนักบัญชีคงรู้ว่า ในหน้าที่การงานที่เกี่ยวกับบัญชีที่ตนรับผิดชอบอยู่นั้นจะพบว่าต้องเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายๆฉบับอย่างไม่น่าเชื่อ ที่ใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็น (๑) ประมวลรัษฎากร กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ตามมาด้วย (๒) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเฉพาะในบรรพ 3 ในหมวดว่าด้วย “บริษัท” (๓) พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543 (๔) พระราชบัญญัติวิชาชีพบัญชี พ.ศ. 2547 (๕) พระราชบัญญัติประกันสังคม และ (๖) พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ที่เรียกกันสั้นๆว่ากฎหมายแรงงาน)
ผู้ประกอบการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว นอกจากจะมีหน้าที่เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ซื้อหรือผู้รับบริการพร้อมออกใบกำกับภาษีเป็นหลักฐาน ยังต้องจัดทำรายงานภาษีซื้อและภาษีขายด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างไร 

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์