นักบัญชีควรรู้ จะทำอย่างไรเมื่อต้องเจอกับ “ค่าเสื่อมราคา”

นักบัญชีควรรู้ จะทำอย่างไรเมื่อต้องเจอกับ “ค่าเสื่อมราคา”


เนื้อหาที่จะนำมาแบ่งปันให้ได้เรียนรู้ร่วมกันในครั้งนี้ เป็นเรื่องของ ‘ค่าเสื่อมราคา’ ที่ผมเองก็มักจะได้เห็น และได้พบปัญหาที่เกิดจากความเข้าใจผิดพลาดคลาดเคลื่อน หรือมีแนวปฏิบัติที่ออกจะสับสนไม่สอดคล้องกับมาตรฐานการบัญชี และแนวปฏิบัติของกรมสรรพากรตามที่ควรจะเป็น ซึ่งเมื่อพูดถึง ‘ค่าเสื่อมราคา’ เราจะสามารถแบ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องออกเป็นสองส่วนด้วยกันคือ ประเด็นที่เกี่ยวกับหลักการบัญชี กับหลักการภาษี ซึ่งสรุปเป็นภาพรวมแบบนี้ครับว่า

1.การคิดค่าเสื่อมราคาเป็นการปันส่วนต้นทุนสินทรัพย์อย่างมีระบบจนครบอายุการใช้งาน ค่าเสื่อมราคาที่เกิดในรอบบัญชีต้องรับรู้เป็นค่าใช้จ่าย
2.เป็นการยึด หลักความสม่ำเสมอ ในการสะท้อนภาพประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่ได้รับสินทรัพย์ทุกรอบระยะเวลาบัญชี
3.กรณีแยกส่วนประกอบตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 16 (ปรับปรุง 2552) (Component accounting) ให้คิดค่าเสื่อมราคาส่วนประกอบที่ถูกแยก ซึ่งส่วนประกอบที่จะแยกนั้นจะต้องเป็นส่วนที่มีนัยสำคัญแยกต่างหากจากกันด้วย
4.จะคิดค่าเสื่อมเมื่อสินทรัพย์นั้นพร้อมใช้งานผมขอแนะนำให้ใช้หลัก 3 ข้อในการพิจารณา

     4.1 Location (อยู่ในสถานที่ที่ต้องการใช้งาน)
     4.2 Condition (อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน)
     4.3 Intention USE

5. สิ้นสุด/หยุดคิด/เลิกคิดค่าเสื่อมราคา

เมื่อเข้าเงื่อนไข

5.1 เมื่อมีการจำหน่าย ขายทิ้งไป
5.2 กิจการจะไม่ได้รับประโยชน์จากสินทรัพย์นั้นอีกต่อไป เช่น เมื่อสินทรัพย์นั้นสูญหาย, เมื่อมีการตัดออกจากบัญชี
5.3 เมื่อจัดมีการจัดประเภทเป็นถือไว้เพื่อขาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์จะขายให้เสร็จภายในอนาคตอันใกล้

หลักการภาษี
1. ตามนัยมาตรา 65 ทวิ (2) การหักค่าสึกหรอ หรือค่าเสื่อมราคาต้องเป็นไปตามเงื่อนไขใน พรฎ.#145 และ ป.3/2527
2. คิดค่าเสื่อมราคาไม่เกิดอัตราที่กำหนด และพรฎ.#145 ไม่ได้กำหนดให้หักจนหมดมูลค่า
3. อายุการใช้งานต้องไม่น้อยกว่าที่กำหนด
4. กฎหมายกำหนดให้คำนวณตามระยะเวลาที่ได้มาเป็นรายวัน

จะเห็นว่าจากที่จำแนกความแตกต่างของประเด็นค่าเสื่อมราคาระหว่างหลักการบัญชี กับหลักการภาษีไปแล้วนั้นเป็นการกล่าวถึงค่าเสื่อมราคาที่เกี่ยวกับสินทรัพย์กรณีทั่วไป แต่ยังมิได้กล่าวถึงสินทรัพย์ที่มีประเด็นทางภาษีอีกประเภทหนึ่ง ก็คือ ‘รถยนต์’ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าพูดในภาพของหลักการบัญชี อยกตัวอย่างประกอบจะได้เห็นภาพมากขึ้นนะครับ สมมติว่ากิจการซื้อรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) ราคา 1,399,000 บาท หลักการบัญชี ต้นทุนของสินทรัพย์ (รถยนต์) ที่บันทึกบัญชีจะเท่ากับ 1,399,000 บาท ซึ่งเวลาคิดค่าเสื่อมราคา (ตามหลักการบัญชี) ก็คิดจากยอดดังกล่าว แต่สำหรับหลักการภาษีรถยนต์นั่ง (ไม่เกิน 10 ที่นั่ง) ต้นทุนของสินทรัพย์ที่จะนำไปคิดค่าเสื่อมราคาจะใช้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 1,000,000 บาท ทั้งนี้ ผู้ทำบัญชีจะต้องพิจารณาดูประเด็นของรถยนต์คันดังกล่าวด้วยเช่นกัน เพราะกฎหมายก็ได้มีการยกเว้นให้กับธุรกิจรถเช่า โดยรถยนต์ที่ซื้อมานั้นก็จะสามารถคิดค่าเสื่อมราคาได้จากต้นทุนของสินทรัพย์ (ตามหลักการบัญชี) ซึ่งก็เป็นไปตามนัย พรฎ.#505

อย่างไรก็ตาม หลักการบัญชียังมีแนวปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีหากมีการจำหน่าย (ขายรถยนต์) ต้นทุนที่เหลือจากการคิดค่าเสื่อมเมื่อเทียบกับราคาขาย ผลต่างสามารถถือเป็นกำไร หรือค่าใช้จ่ายได้ทั้งจำนวน แต่หลักการภาษีนั้นมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างไปคือ เมื่อขายไป ต้นทุนส่วนที่เกิน 1 ล้านบาท สำหรับบริษัททั่วไป (ที่ไม่ใช่ธุรกิจรถเช่า) ห้ามนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ในทางกลับกันถ้าเป็นธุรกิจให้เช่าซื้อ/ให้เช่า สามารถถือเป็นค่าใช้จ่ายได้ ซึ่งก็เป็นไปตามนัย พรฎ.#315, มาตรา 65 ตรี (20) และ พรฎ.#145

พาดพิงมาถึงธุรกิจให้เช่าซื้อ ก็อดพูดถึงประเด็นของค่าเสื่อมราคา กรณีของสินทรัพย์ที่มีการเช่าซื้อไม่ได้ครับ ประเด็นนี้ก็มีความแตกต่างที่เห็นชัดเจนในเรื่องของต้นทุนสินทรัพย์ที่จะใช้คิดค่าเสื่อมราคา เพราะหลักการบัญชีนั้นต้นทุนของสินทรัพย์จะไม่รวมดอกผลจากการเช่าซื้อ ไว้เป็นต้นทุน ซึ่งเมื่อมีการเช่าซื้อมาจะทำบันทึกบัญชีโดย

วันที่ได้มาบันทึกรับรู้ทรัพย์สิน ชำระค่างวด & บันทึกดอกเบี้ยจ่าย เมื่อบันทึกค่าเสื่อมราคา
เดบิต  สินทรัพย์ / ทรัพย์สิน เดบิต  เจ้าหนี้เช่าซื้อ เดบิต ค่าเสื่อมราคา
เดบิต ดอกเบี้ยจ่ายรอตัดบัญชี เดบิต  ดอกเบี้ยจ่าย เครดิต ค่าเสื่อมราคาสะสม
เครดิต  เงินสด/เงินฝากธนาคาร เครดิต เงินสด/เงินฝากธนาคาร
เครดิต  เจ้าหนี้เช่าซื้อ เครดิต ดอกเบี้ยจ่ายรอตัดบัญชี

แต่หลักการภาษีนั้น ได้แจกแจงไว้ตามนัย พรฎ.#145 มาตรา 7 และคำสั่งกรมสรรพากร ป.3/2527 สรุปได้ว่า สินทรัพย์/ทรัพย์สินที่มีการเช่าซื้อมานั้น คิดค่าเสื่อมราคาตามต้นทุนทั้งหมดที่ต้องชำระตามสัญญาเช่าซื้อ แต่ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาที่จะนำมาหักในรอบระยะเวลาบัญชีจะต้องไม่เกินค่าเช่าซื้อหรือราคาที่ต้องผ่อนชำระในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!

ธนพล สุขมั่นธรรม : ผู้เขียน

แหล่งที่มา : www.jobdst.com

 1020
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ภายใต้หลักการที่ว่าการจัดทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วนตามกฎหมายและมาตรฐานการบัญชีนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถสะท้อนผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินที่แท้จริงของกิจการได้ จากการสำรวจเบื้องต้น พบว่า
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีจากกำไรสุทธิ ต้องคำนวณกำไรสุทธิ จากรายได้จากกิจการ หรือเนื่องจาก กิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชี หักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี ซึ่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดรอบระยะเวลาบัญชีหนึ่งๆ ไว้ดังนี้ 
เรื่องของบัญชีและภาษีได้อยู่ควบคู่กับธุรกิจมาอย่างยาวนาน ผู้ที่ทำธุรกิจควรมีความรู้และความเข้าใจในบัญชีและภาษีในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะการทำบัญชีเบื้องต้นและการยื่นภาษีอากร แม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำหน้าที่เหล่านั้นด้วยตัวคุณเอง แต่ในฐานะที่คุณทำธุรกิจมันจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องเข้าใจในระดับหนึ่ง
กระบวนการบัญชีหรือวงจรบัญชี คือขั้นตอนในการรวบรวม การประมวลผลและการสื่อสารข้อมูลทางการเงิน รวมไปถึงการบันทึก การจำแนก การสรุปและการตีความข้อมูลทางการเงิน
ใบเสร็จรับเงิน จริงๆ แล้วคือเอกสารที่ใช้ในการรับเงินจากผู้ขายหรือผู้ให้เช่าออกใบเสร็จนี้ให้กับผู้ซื้อ เพื่อเป็นเอกสารยืนยันว่าผู้ขายหรือผู้ให้เช่านั้นได้รับเงินแล้ว การออกใบเสร็จรับเงินเป็นสิ่งที่สำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำเพราะตามกฎหมายแล้วกำหนดไว้ว่าให้ผู้รับเงิน ต้องออกใบเสร็จให้กับผู้ขายทันที เมื่อมีการรับเงิน โดยไม่เว้นแต่กรณีที่ผู้ซื้อจะขอหรือไม่ขอก็แล้วแต่ แต่ถ้าหากเป็นธุรกิจที่มีขนาดเล็ก อาจจะไม่ต้องออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ซื้อทุกครั้ง แต่ทางกรมสรรพากรได้กำหนดไว้ว่าต้องออกใบเสร็จรับเงินต่อเมื่อมีการขายสินค้าที่มีจำนวนเงินเกิน 100 บาท/ต่อครั้ง
เงินได้มาตรา 40(1) หัก ณ ที่จ่ายตามอัตราก้าวหน้า คือ การประมาณรายได้พนักงานทั้งปี แล้วหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนเพื่อหาเงินได้สุทธินำส่งนำไปคำนวณภาษี นำเงินได้สุทธิมาคูณอัตราภาษีตามอัตราก้าวหน้า (0%-35%) เมื่อได้ยอดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่จะต้องเสีย จึงนำมาหารเฉลี่ยตามงวดที่จ่าย

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์