เงินค่ามัดจำ คืออะไร

เงินค่ามัดจำ คืออะไร


เงินมัดจำ (อังกฤษ: earnest) คือ เงินหรือทรัพย์สินอย่างอื่นอันมีค่าในตัวซึ่งให้ไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีการทำสัญญากันขึ้นแล้ว และเพื่อเป็นประกันการปฏิบัติตามสัญญานั้น

ในทางบัญชี เงิน ค่า มัดจำ คือเกิดจาก การจ่ายเงิน หรือ รับเงิน แต่ยังไม่ได้ให้บริการ หรือส่งสินค้า ให้ได้ครบเต็มจำนวนมูลค่าของสินค้านั้น หรือบางครั้ง จ่ายเงินเต็มจำนวนของมูลค่าหรือสินค้าของบริการนั้นแล้วก็จริง แต่!! สินค้า หรือบริการยังให้ไม่ครบเต็มจำนวน ก็อาจใช้ชื่อบัญชีว่า เงินมัดจำ ในหลักการทางบัญชี ถือเป็น หนี้สิน (รายได้รับล่วงหน้า) ของกิจการ หรือค่าใช้จ่ายจ่ายล่วงหน้าของกิจการ ขึ้นอยู่กับว่า ได้ได้รับมา หรือ จ่ายออกไป

ในทางกฎหมาย คำว่า “มัดจำ” ป.พ.พ. มาตรา 377 บัญญัติว่า เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว.

ตัวอย่างมัดจำในทางบัญชี

เช่น บริษัท A จำกัด ขายสินค้าให้กับ บริษัท b จำกัด ราคา 10,000 บาท บริษัท B จ่ายชำระ 2000 บาท ให้กับ บริษัท A

ยกตัวอย่างกรณีที่ อาจเป็นการสั่งผลิตหรือของหมด  บริษัท B ต้องการสินค้านี้ บริษัทเอง จึงได้ขอให้จ่ายเงินจองสินค้านี้ก่อน จึงเกิดชื่อบัญชี เงินมัดจำ (ในทางบัญชีถือเป็นรายได้รับล่วงหน้า) จำนวน 2,000 บาท

บึนทึกบัญชี ดังนี้

บริษัท A จำกัด

Dr.เงินสด                 2,000.-

Cr. เงินมัดจำ (รายได้รับล่วงหน้า).       2,000.-

บริษัท B จำกัด

Dr.เงินมัดจำ (รายจ่ายจ่ายล่วงหน้า)         2,000.-

Cr. เงินสด                                                         2,000.-

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัท ด้วย ว่าคุณใช้ระบบการซื้อสินค้าแบบใด บางครั้ง บริษัท B อาจใช่ชื่อบัญชี ค่าสินค้าจ่ายล่วงหน้า ก็ได้ (ถือเป็นเงินมัดจำเช่นกัน) หรือบริษัท A อาจจะใช้เป็นรายได้รับล่วงหน้าเลยก็ได้ เพราะถือเป็นการ รับเงินล่วงหน้าค่าสินค้า

ผิดสัญญามัดจำ

การผิดสัญญามัดจำ เกิดขึ้นได้ทั้ง 2 ฝ่าย คือฝ่ายให้จ่ายเงินมัดจำ กับฝ่าย ที่ต้องจ่ายเงินมัดจำ และมีเหตุที่ตทำให้ไม่ได้ซื้อขายกัน มีอะไรบ้าง เช่น จ่ายเงินมัดจำจองบ้าน จ่ายเงินมัดจำจองรถ จ่ายเงินมัดจำค่าสินค้า หรือบริการ เป็นต้น

กรณีผู้จ่ายเงินมัดจำผิดสัญญา

เช่น กรณีเราไปซื้อรถ ซื้อบ้าน บางครั้งอาจมีการให้จ่ายเงินจอง หรือเงินมัดมัดจำ แต่มีเหตุทำให้ไม่ได้ซื้อ หรือซื้อไม่ได้ แต่เกิดจากเราที่เป็นการผิดสัญญา สามารถขอเงินคืนได้หรือไม่?

คำตอบคือได้ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2563 เป็นไปตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 (ม7) กฎหมายนี้ออกเพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่จ่ายเงินมัดจำแล้วถูกริบเงินมัดจำโดยไม่เป็นธรรม เมื่อมีการขอคืนเงินมัดจำบางส่วนแต่ไม่ได้รับคืนอย่างที่ควรจะเป็น หรือบางครั้งอาจผิดสัญญาเงินมัดจำ โดยไม่ได้ตั้งใจ ก็ควรได้รับเงินมัดจำคืนบางที่ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้รับมัดจำ

การริบเงินมัดจำ

การริบเงินมัดจำได้ จะต้องเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามมาตรา 378 คือ

มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นท่านให้เป็นไปดั่งจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

  1. ให้ส่งคืน หรือจัดเอาเป็นการใช้เงินบางส่วนในเมื่อชำระหนี้
  2. ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น
  3. ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่ง ซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ”

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงในสัญญาที่ตกลงกันไว้และหากมีการฟ้องร้องกันจริงก็ต้องดูเอกสาร และข้อกฎหมายอื่น ๆ ประกอบกันอีกด้วย

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี่ คลิ๊ก!!

ที่มา : LINK
 2024
ผู้เข้าชม

บทความที่เกี่ยวข้อง

การวางแผนภาษีสิ้นปีเป็นกระบวนการในการจัดการเรื่องการเงินเพื่อผลประโยชน์ทางภาษีประจำปีที่ดีที่สุด ซึ่งรวมถึงการกำหนดเวลาการขายการซื้อหรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเพื่อให้สามารถดำเนินการในกรอบเวลาที่ดีที่สุด การชะลอการกระทำหรือสร้างความมั่นใจว่ากิจกรรมบางอย่างเกิดขึ้นก่อนสิ้นปีจะมีผลอย่างมากต่อการเรียกเก็บภาษี มีปัจจัยภายในและภายนอกหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนภาษีสิ้นปีเช่นกัน
มาทำความรู้จักกับการยื่นภาษี ประเภทต่างๆกันก่อนดีกว่า ผู้เสียภาษีไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ต้องเสียภาษีและต้องกรอกแบบยื่นรายการภาษีเรียกว่า ภ.ง.ด. (ย่อมาจาก ภาษีเงินได้)
หากเราเลือกวิธีการประหยัดภาษีต่างๆ ที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจทำให้เกิดอันตรายต่อฐานะการเงินของเราได้ กรมสรรพากรจะตรวจสอบว่า วิธีการที่เราใช้นั้นมันผิดกฎหมายจนทำให้ชำระภาษีขาดไป อาจจะเป็นเรื่องใหญ่แน่
การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย เป็นหน้าที่ของผู้ที่จ่ายเงินส่วนผู้ที่รับเงินได้นั้นจะเป็นผู้ที่ถูก โดยหากมีการหักภาษี ณ. ที่จ่ายกับจะใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.3 แต่หากหักกับนิติบุคคลจะใช้แบบยื่น ภ.ง.ด.53 ใบบทความนี้เราจะพูดถึงการหักภาษี ณ ที่จ่ายที่เป็นนิติบุคคลกัน
ใบขอซื้อ (PR) เป็นเอกสารที่เป็นฉบับแรกสุดในบริษัทขนาดใหญ่ก่อนที่จะได้รับการอนุมัติเพื่อทำเอกสารใบสั่งซื้อ ส่วนใบสั่งซื้อ (PO) หรือ ใบเสนอราคา เอกสารใบสั่งซื้อนี้ สามารถใช้เป็นหลักฐานในการทำธุรกิจได้เป็นอย่างดี หากการสั่งซื้อนั้นเกิดความล่าช้ากว่ากำหนด หรือ มีข้อโต้แย้งที่ทำสินค้าให้เราไม่ได้อย่างที่ตกลงกันไว้

สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์